วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

การอ่านและการใช้แผนที่


  • การกำหนดตำแหน่งในแผนที่                                                                              
         พิกัดภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) เป็นระบบอ้างอิงบนพื้นผิวพิภพ ตำแหน่งของจุดใดๆ บนพื้นผิวพิภพสามารถกำหนดได้ด้วยค่าละติจูด( Latitude ) และลองจิจูด ( Longitude ) โดยมีหลักการและวิธีการ ดังนี้
ก) ละติจูด
       เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพที่เกิดจากการสมมติใช้พื้นราบตัดพิภพโดยให้พื้นราบนั้นตั้งได้ฉากกับแกนหมุนของพิภพเสมอ เส้นรอยตัดดังกล่าวนั้นคือเส้นละติจูด นิยมเรียกสั้นๆ ว่า เส้นขนาน
ละติจูดศูนย์องศา คือ เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพ ที่เกิดจากพื้นราบที่ตั้งได้ฉากกับแกนหมุนตัดผ่านจุดศูนย์กลางของพิภพ เส้นรอยตัดเส้นนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เส้นศูนย์สูตร” (Equator) ซึ่งเป็นวงขนานละติจูดวงใหญ่ที่สุด
ค่าละติจูดของวงละติจูดใด คือ ค่ามุมที่จุดศูนย์กลางของพิภพนับไปตามพื้นราบที่บรรจุแกนหมุนของพิภพ เริ่มจากพื้นศูนย์สูตรถึงแนวเส้นตรงที่ลากจากจุดศูนย์กลางพิภพไปยังวงละติจูตนั้น
ที่จุดขั้วเหนือของพิภพมีค่าละติจูดเท่ากับ 90 องศาเหนือ และที่จุดขั้วใต้ของพิภพมีค่าละติจูดเท่ากับ 90 องศาใต้
เนื่องจากพื้นของวงละติจูดศูนย์องศา หรือพื้นศูนย์สูตร เป็นพื้นที่ตัดผ่านจุดศูนย์กลางของพิภพ วงศูนย์สูตรจึงถูกเรียกว่า วงกลมใหญ่ส่วนละติจูดอื่นๆ เป็นวงกลมเล็ก วงละติจูตจะมีขนาดเล็กลงๆ เมื่อห่างวงศูนย์สูตรออกไปจนกระทั่งกลายเป็นจุดที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
ระยะห่างระหว่างเส้นละติจูด 1 องศา คิดเป็นระยะทางบนผิวพิภพประมาณ 111 กิโลเมตร (69 ไมล์) และ 1 พิลิปดา มีระยะห่างประมาณ 30.48 เมตร (100 ฟุต)
ข) ลองจิจูด
เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพที่เกิดจากการสมมติใช้พื้นราบตัดพิภพ โดยให้พื้นราบผ่านแนวแกนหมุนของพิภพ เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพดังกล่าวเรียกว่า เส้นลองจิจูดหรือเส้นเมริเดียน ( Meridian)
ลองจิจูดศูนย์องศา คือเส้นลองจิจูดที่ผ่านหอส่งดาว ณ เมืองกรีนิส (Greenwich) ในประเทศอังกฤษ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  เมริเดียนหลัก ( Prime Meridian)
การกำหนดค่าลองจิจูด คือค่าง่ามมุมที่จุดศูนย์กลางพิภพบนพื้นศูนย์สูตรโดยใช้แนวเส้นตรงที่ลากจากจุดศูนย์กลางพิภพมายังเมริเดียนหลักเป็นแนวเริ่มนับค่าง่ามมุมไปทางตะวันออก 180 องศา เรียกว่า ลองจิจูดตะวันออก และนับค่าง่ามมุมไปทางตะวันตก 180 องศา เรียกว่า ลองจิจูดตะวันตก เส้นลองจิจูดที่ 180 องศาตะวันออกและตะวันตกเป็นเส้นเดียวกัน
ลองจิจูดทุกเส้นเป็นส่วนโค้งของวงกลมใหญ่(Great Circle)
ระยะห่างระหว่างเส้นลองจิจูด 1 องศา ตามเส้นศูนย์สูตร คิดเป็นระยะทางประมาณ 111 กิโลเมตร (69 ไมล์) และ 1 พิลิปดา มีระยะห่างประมาณ 30.48 เมตร (100 ฟุต) แต่เนื่องจากเส้นลองจิจูตทุกเส้นจะไปบรรจบกันที่จุดขั้วเหนือและขั้วใต้ของพิภพ ดังนั้น ระยะห่างระหว่างเส้นลองจิจูดจึงน้อยลงๆ เมื่อยิ่งห่างจากเส้นศูนย์สูตรออกไป
ค) วิธีการบอกตำแหน่งของจุดใดๆ ในแผนที่เป็นค่าพิกัดภูมิศาสตร์
พิกัดภูมิศาสตร์ จะมีแสดงไว้บนแผ่นแผนที่มาตรฐานทั่วๆ ไปและแผนที่บางชนิดมีเฉพาะระบบนี้เท่านั้น ที่ใช้ในการบอกตำแหน่งของจุดใดๆ ในแผนที่
เส้นขอบระวาง( neat lines) ของแผนที่ภูมิประเทศแบบมาตรฐานซึ่งผลิตขึ้นใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน และที่นิยมใช้กันอยู่เกือบทั่วโลกขณะนี้ เส้นขอบบนและเส้นขอบล่างเป็นเส้นละติจูด เส้นด้านข้างทั้งสองเส้นเป็นเส้นลองจิจูดค่าของเส้นละติจูดและลองติจูดจะมีกำกับไว้ที่มุมทั้ง 4 ของขอบระวางแผนที่ ตามแนวเส้นขอบระวางแผนที่จะแสดงขีดส่วนแบ่งย่อยของค่าละติจูดและลองติจูดไว้ทั้งสี่ด้าน ถ้าต่อแนวเส้นตรงของขีดส่วนแบ่งย่อยดังกล่าวที่อยู่ตรงข้ามทั้ง 4 ด้าน เข้าไปภายในของระวางแผนที่แล้วจะพบเครื่องหมายกากบาทอันเป็นส่วนตัดกันของขีดส่วนแบ่งย่อยละติจูดและลองติจูด ความห่างของขีดส่วนแบ่งย่อยละติจูดและลองติจูดจะเป็นเท่าไรขึ้นอยู่กับขนาดมาตราส่วนของแผนที่
2. พิกัดกริด (Grid Coordinates)
พิกัดกริดเป็นพิกัดตารางสี่เหลี่ยมประกอบด้วยเส้นตรง 2 ชุด คือ เส้นตรงขนานกันในแนวนอนและเส้นตรงขนานกันในแนวตั้ง เส้นตรงทั้ง 2 ชุดนี้จะตัดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก 
เส้นตรงขนานดังกล่าวจะพิมพ์ไว้บนแผ่นแผนที่ ที่เรียกว่า เส้นกริด แต่ละเส้นมีตัวเลขแสดงค่าพิกัดกริดนับจากจุดศูนย์กำเนิด( Origin) ของระบบพิกัดกริดนั้น ขนาดระยะห่างระหว่างเส้น
กริดคู่หนึ่งๆ ย่อมคงที่เสมอและจะมีระยะจริงตรงกับภูมิประเทศเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับขนาดมาตราส่วนของแผนที่ที่ผลิตขึ้นใช้ จุดศูนย์กำเนิดของระบบพิกัดกริดจะใช้ศูนย์กำเนิดจริง
(True Origin) หรือศูนย์กำเนิดสมมติ (False Origin) ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละระบบ
ระบบพิกัดกริดมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะพิกัดกริดที่นิยมใช้ในกิจการทหาร ( Military Grid) ยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น
ก. พิกัดกริดยูนิเวอร์ซัลทรานสเวอร์สเมอร์เคเตอร์ (Universal Transverse Mercator Grid) แผนที่มาตราส่วนใหญ่และมาตราส่วนปานกลางที่ใช้ในกิจการทหารส่วนมาก นอกจากจะมีระบบพิกัดภูมิศาสตร์ ( Geographic Coordinates) แล้วยังมีระบบกริดที่ใช้ช่วยในการกำหนดตำแหน่งและใช้อ้างอิงในการบอกตำแหน่งอีกด้วย การบอกตำแหน่งโดยอาศัยระบบกริดมีส่วนดีและสะดวกกว่าใช้ระบบพิกัดภูมิศาสตร์ เพราะตารางกริดมีขนาดเท่ากันและรูปร่างเหมือนกันทุกตาราง และพิกัดกริดให้ค่าเป็นระยะทางซึ่งง่ายแก่การกำหนดดีกว่าค่าง่ามมุม ระบบ UTM กริด มีลักษณะโดยย่อดังนี้
(1) ใช้ร่วมกับโปรเจคชั่นแบบ TRANSVERSE MERCATOR( Gauss Kruger) โดยแบ่งพิภพออกเป็นโซนละ 6 องศา ตามลองจิจูด โซนที่ 1 อยู่ระหว่างลองจิจูด 180 องศาตะวันตก กับลองจิจูด 174 องศาตะวันตก นับต่อเนื่องไปทางตะวันออกรอบพิภพรวม 60 โซน ซึ่งโซนที่ 60 จะอยู่ระหว่างลองจิจูด 174 องศาตะวันออกกับลองจิจูด 180 องศาตะวันออก
(2) สำหรับประเทศไทยใช้รัศมีของพิภพตามค่า Equatorial semi-axis a = 6,377,276.34518 เมตร ของ EVEREST SPHEROID
(3) ระบบพิกัด UTM กริด คลุมบริเวณตั้งแต่ละติจูด 80 องศาใต้ ถึงละติจูด 84 องศาเหนือ
(4) หน่วยที่ใช้ในการวัดเป็นเมตร โดยมีจุดศูนย์กำเนิดอยู่ที่จุดตัดกันระหว่างเส้นศูนย์สูตรกับเส้นเมริเดียนย่านกลาง ( Central Meridian) ของแต่ละโซน
(5) ค่าพิกัดมี 2 ค่า คือ พิกัดทางเหนือ (Northing) ใช้อักษรย่อว่า N และ พิกัดทางตะวันออก (Easting) ใช้อักษรย่อว่า E
(6) ค่าพิกัดของจุดศูนย์กำเนิดของแต่ละโซนเป็นค่าพิกัดสมมติเพื่อหลีกเลี่ยงค่าพิกัดที่เป็นลบ โดยกำหนดให้
  • พิกัดของจุดศูนย์กำเนิดของแต่ละโซนทางซีกโลกเหนือ
False northing = 0 เมตร
False easting = 500, 000 เมตร
  • พิกัดของจุดศูนย์กำเนิดของแต่ละโซนทางซีกโลกใต้
False northing = 10,000,000 เมตร
False easting = 500, 000 เมตร
(7) แต่ละโซนมีขนาดพื้นที่เท่ากัน แผนที่ที่คลุมบริเวณของแต่ละโซนมีขนาดเท่ากัน สำหรับแผนที่มาตราส่วนใหญ่จะมีส่วนเหลื่อมล้ำกันออกไปสองข้างรอยต่อโซนข้างละ 30 ลิปดา หรือ 25 ไมล์ เพื่อประโยชน์ในงานสำรวจด้านวิศวกรรมและการตรวจการยิงของปืนใหญ่
(8) เส้นกริดในทางตั้งจะขนานกับเมริเดียนย่านกลางของแต่ละโซน ส่วนเส้นกริดทางแนวนอนจะขนานกับเส้นศูนย์สูตร
(9) การกำหนดโซนของกริด (Grid Zone Designation)
ระหว่างละติจูด 80 องศาใต้กับละติจูด 84 องศาเหนือแบ่งออกเป็น 20 ส่วนๆ ละ 8 องศา เฉพาะส่วนบนสุดเท่านั้นที่มีขนาด 12 องศา แต่ละส่วนใช้อักษรกำกับ เริ่มจากอักษร C ที่เป็นส่วนใต้สุด (ระหว่างละติจูด 80-72 องศาใต้) ขึ้นไปตามลำดับถึงอักษร X ยกเว้นอักษร I กับ O
ระหว่างลองจิจูด 180 องศาตะวันตกเวียนไปทางตะวันออกถึงลองจิจูด 180 องศาตะวันออก แบ่งออกเป็น 60 ส่วนๆ ละ 6 องศา แต่ละส่วนใช้ตัวเลขกำกับ เริ่มส่วนที่ 1 ระหว่างลองจิจูด 180 องศาตะวันตกกับ 174 องศาตะวันตก นับไปทางตะวันออก จนถึงส่วนที่ 60 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายอยู่ระหว่างลองจิจูด 174 องศาตะวันออกกับ 180 องศาตะวันออก (ลองจิจูด 180 องศาตะวันตกกับลองจิจูด 180 องศาตะวันออกเป็นเส้นเดียวกัน)
(10) การกำหนดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแสนเมตร(100,000 meter square identification ) - เริ่มจากลองจิจูด 180 องศาตะวันตกนับไปตามเส้นศูนย์สูตรไปทางตะวันออกทุกๆ ระยะ 100,000 เมตร ให้อักษรกำกับ เริ่มจากอักษร A ถึง Z ยกเว้นอักษร I กับ O จะมีชุดตัวอักษรซ้ำกันทุกๆ 8 องศา หรือ 3 โซน
- ตามแนวเหนือ-ใต้ ซีกโลกภาคเหนือเฉพาะโซนหมายเลขคี่ เริ่มจากเส้นศูนย์สูตรขึ้นไปทุกๆ ระยะ 100,000 เมตร ให้ตัวอักษรกำกับเริ่มจากอักษร A ขึ้นไป ตามลำดับถึงอักษร V ยกเว้น I กับ O ส่วนโซนหมายเลขคู่เริ่มนับจากจุดที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรลงไป 500,000 เมตร ระยะ 100,000 เมตรแรกใช้อักษร A กำกับและให้อักษรกำกับทุกๆ ระยะ 100,000 เมตรขึ้นมาตามลำดับจนถึงอักษร V ยกเว้นอักษร I กับ O จะมีชุดอักษรซ้ำกันทุกๆ ระยะ 2,000,000 เมตร
(11) การบอกค่าพิกัดกริดของระบบ UTM กริดที่สมบูรณ์จะต้องบอกตามลำดับดังต่อไปนี้
(ก) บอกให้ทราบชื่อโซนของกริด ( Crid Zone Designation ) เช่น 3P
(ข) บอกให้ทราบชื่อรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแสนเมตร เช่น ( 100,000 meter square identification) เช่น MN
(ค) บอกค่าพิกัดกริดของจุดที่พิจารณา ตามขนาดความละเอียดที่ต้องการ เช่น
24, 2142, 218427, 21834279………..
(12) การบอกค่าพิกัด UTM กริดของจุดใดๆ ขณะปฏิบัติการในโซนเดียวกัน เพื่อความรวดเร็วนิยมบอกเป็นค่าพิกัด E และ N เฉพาะหลักหมื่น หลักพัน (ซึ่งในแผนที่ 1: 50,000 ชุด L 708 และ L 7017 จะพิมพ์ไว้เป็นตัวเลขใหญ่กำกับเส้นกริด) และหลักร้อยซึ่งประมาณได้ในแผนที่ เช่น 218427 
218 คือค่า E ( 8 คือ หลักร้อยที่ประมาณได้)
427 คือค่า N ( 7 คือ หลักร้อยที่ประมาณได้)
(13) การบอกค่าพิกัดของระบบ UTM กริดของจุดใดๆ ในโซนเดียวกันซึ่งต้องการค่า E และ N ที่สมบูรณ์ จะต้องเขียนให้ครบตามค่าพิกัดที่นับจากศูนย์สมมติ เช่น
พิกัดของจุด ก.
E = 748,600 เมตร
N = 1,546,415 เมตร
พิกัดของจุด ข.
E = 801,502 เมตร
N = 1,643,712 เมตร
(14) ปกติเส้นกริดของระบบ UTM จะมีค่าประจำอยู่ทุกเส้นระยะระหว่างเส้นสามารถอ่านประมาณได้ใกล้เคียงถึง 1/10 ของระยะห่างระหว่างเส้นกริดนั้น ถ้าต้องการอ่านให้ละเอียดถูกต้องกว่านั้นก็จำเป็นต้องใช้ Coordinate Scale ช่วยในการอ่านในรูปที่แสดงไว้จะเห็นตัวอย่างของ Coordinate Scale ที่ใช้อ่านพิกัดกริดของแผนที่มาตราส่วนต่างๆ ซึ่งผู้ใช้แผนที่สามารถสร้างขึ้นใช้เองได้
ข. พิกัดยูนิเวอร์ซัลโพล่าร์ สเตริโอกราฟฟิค( The Universal Polar Stereographic Grid) ระบบ UPS มีลักษณะโดยย่อดังต่อไปนี้
ใช้ร่วมกับโปรเจคชั่นแบบ Polar Stereographic
ระบบพิกัด UPS คลุมบริเวณตั้งแต่ละติจูด 84 องศาเหนือขึ้นไปถึงขั้วโลกเหนือและบริเวณตั้งแต่ละติจูด 80 องศาใต้ ลงไปถึงขั้วโลกใต้ ซึ่งเป็นบริเวณพื้นผิวพิภพที่ไม่ได้ถูกครอบคลุมด้วยระบบ UTM
ลักษณะเส้นกริดของระบบ UPS คล้ายกับลักษณะเส้นกริดของ UTM คือ ประกอบด้วยเส้นตรงขนานสองชุดตัดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก แต่เส้นกริดในแนวยืนระบบ UPS ขนานกับเส้นลองจิจูด 0 และ 180 องศา เส้นกริดในแนวนอนขนานกับเส้นลองจิจูด 90 องศา 
ศูนย์กำเนิดของเส้นกริดอยู่ ณ ขั้วของพิภพ โดยสมมติให้มีค่า EASTING =2,000,000 เมตร และค่า NORTHING = 2,000,000 เมตร
การกำหนดโซนของกริด ( Grid Zone Designation) ใช้เส้นลองจิจูด 0 และ 180 องศา เป็นเส้นแบ่งพื้นที่บริเวณขั้วโลกที่ระบบนี้ครอบคลุมอยู่ออกเป็นสองส่วน เป็นส่วนตะวันตกและส่วนตะวันออก ทางขั้วโลกเหนือใช้อักษร Y และ Z กำกับ ส่วนทางขั้วโลกใต้ใช้อักษร A และ B กำกับ
ค. The World Geographic Reference System (GEOREF) GEOREF เป็นระบบอ้างอิงที่ใช้ในการกำหนดตำแหน่งที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นผู้ริเริ่มนำมาใช้ ซึ่งสามารถใช้ได้กับแผนที่ใดๆ ที่มีค่าละติจูดและลองจิจูดกำกับอยู่ด้วย ระบบยีออเรฟมีกฎการแบ่งที่สามารถจดจำได้ง่ายๆ ดังนี้
(1) แบ่งผิวพิภพตามค่าลองจิจูดออกเป็น โซน(zone) โซนละ 15 องศา เริ่มโซนแรกระหว่างลองจิจูด 180 องศา กับ 165 องศา ตะวันตก นับเวียนไปทางตะวันออกได้ 24 โซนให้อักษรประจำโซน เริ่มตั้งแต่อักษร A ถึง Z ยกเว้นอักษร I กับ O
(2) แบ่งผิวพิภพตามค่าละติจูดออกเป็นแถบ ( band ) แถบละ 15 องศา เริ่มจากขั้วโลกใต้ไปหาขั้วโลกเหนือได้ 12 แถบ ให้อักษรประจำแถบ เริ่มตั้งแต่อักษร A ถึงอักษร M ยกเว้นอักษร I
(3) การแบ่งตามข้อ (1) และ (2) จะทำให้ผิวพิภพถูกแบ่งออกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งกั้นด้วยละติจูดและลองจิจูด ห่างกัน 15 องศา รวมทั้งสิ้น 288 รูป แต่ละรูปมีอักษร 2 ตัว กำกับ การอ่านอักษรประจำรูปสี่เหลี่ยมคงถือหลักการอ่านจากซ้ายไปขวาแล้วขึ้นบน ( Read Right-Up)
(4) แบ่งรูปสี่เหลี่ยม15 องศา X 15องศา ตามที่กล่าวแล้วในข้อ (3) นั้นออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อยขนาด 1 องศา X 1 องศา จำนวน 225 รูป คือ แบ่งตามลองจิจูดออกเป็นโซนละ 1 องศา ได้ 15 โซน ให้อักษรประจำโซนเริ่มจากตะวันตกไปตะวันออก ตั้งแต่อักษร A ถึงอักษร Q ยกเว้นอักษร I กับ O และแบ่งตามละติจูตออกเป็นแถบละ 1 องศา ได้ 15 แถบให้อักษรประจำแถบ เริ่มจากใต้ไปเหนือ ตั้งแต่ อักษร A ถึงอักษร Q ยกเว้นอักษร I กับ O ดังนั้นการบอกตำแหน่งของรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา นี้จึงบอกเป็นตัวอักษรสี่ตัว คือ อักษรสองตัวแรกเป็นอักษรประจำรูปสี่เหลี่ยม ขนาด 15 องศา X 15 องศา ที่รูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา ประจำอยู่และอักษรสองตัวหลังเป็นอักษรประจำรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา เอง
(5) ในรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา ดังกล่าวแล้วในข้อ (4) นั้น แบ่ง ออกเป็นรูปเหลี่ยมขนาด 1 ลิปดา X 1 ลิปดา จำนวน 3,600 รูปคือ แบ่งตามลองจิจูด จากตะวันตกไปทางตะวันออกโซนละ 1 ลิปดา ได้ 60 โซน ให้ตัวเลขประจำโซนเริ่มด้วย 00, 01 ……….. ถึง 59 และแบ่งตามละติจูดจากใต้ไปเหนือเป็นแถบละ 1 ลิปดา ได้ 60 แถบ ให้ตัวเลขประจำแถบเริ่มด้วยเลข 00,01 ……….. ถึง 59 การอ่านค่าคงถือหลักอ่านจากซ้ายไปขวาแล้วขึ้นบนเช่นเดียวกัน ดังนั้นการกำหนดตำแหน่งของรูปสี่เหลี่ยมขนาด1 ลิปดา X 1 ลิปดา จึงบอกเป็นค่าที่ประกอบด้วยตัวอักษรสี่ตัวและเป็นตัวเลขสี่ตัว
(6) ในรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 ลิปดา X 1 ลิปดา ดังกล่าวแล้วในข้อ (5) สามารถที่จะแบ่งออกไปได้ด้านละ 10 ส่วน ทั้งตามค่าละติจูดและค่าลองติจูด ส่วนหนึ่งๆ จึงมีค่าเท่ากับ 0.1 ลิปดา สรุปแล้วการกำหนดค่าของจุดใดๆ ในระบบ GEOREF จึงกำหนดเป็นค่าพิกัดที่ประกอบด้วยตัวอักษร 4 ตัว และ ตัวเลข 6 ตัว โดยอาศัยหลักการอ่านจากซ้ายไปขวาแล้วขึ้นบน
3. การกำหนดตำแหน่งในแผนที่ เมื่อใช้แผนที่ในภูมิประเทศ 
เมื่อนำแผนที่ไปใช้ในภูมิประเทศ สิ่งที่ผู้ใช้แผนที่ควรจะต้องทราบและสามารถปฎิบัติได้ซึ่งถือเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ใช้แผนที่ มีอยู่ 3 เรื่อง ดังนี้
1) การวางแผนที่ให้ถูกทิศทาง การวางแผนที่ให้ถูกทิศทางเป็นการปฎิบัติขั้นแรกของการใช้แผนที่ในภูมิประเทศเมื่อแผนที่ถูกวางให้ถูกทิศทางแล้ว  ทิศเหนือในแผนที่จะชี้ไปทางทิศเหนือในภูมิประเทศ ทิศทางของรายละเอียดใดๆ ที่มีแสดงไว้ในแผนที่ก็จะอยู่ในทิศทางที่สมจริงกับรายละเอียดที่ตรงกันซึ่งปรากฏอยู่ในภูมิประเทศ
ก) วิธีวางแผนที่ให้ถูกทิศทางที่สามารถกระทำได้เร็วที่สุด คือ วิธีการใช้เข็มทิศ โดยวางเข็มทิศให้ขอบตลับเข็มทิศทาบขนานไปตามแนวทิศเหนือในแผนที่ หมุนแผนที่ซึ่งมีตลับเข็มทิศวางทาบทับอยู่นั้นไปจนกว่าปลายเข็มทิศแม่เหล็กจะชี้ตรงเครื่องหมายแสดงทิศเหนือในตลับเข็มทิศ ขณะหมุนแผนที่จะต้องคอยระวังอย่าให้ขอบตลับเข็มทิศเคลื่อนจากแนวทิศเหนือของแผนที่
ข) ในกรณีที่ไม่มีเข็มทิศใช้ก็สามารถวางแผนที่ให้ถูกทิศได้ โดยอาศัยการวางแผนที่ให้รายละเอียดที่มีอยู่ในแผนที่ ชี้ไปในทิศทางเดียวกันกับรายละเอียดที่ตรงกัน ซึ่งปรากฏอยู่ในภูมิประเทศ เพื่อความมั่นใจในการจัดวางโดยวิธีนี้ควรจะใช้รายละเอียดที่เห็นเด่นชัดอย่างน้อย 2 ที่หมาย
ค)ในกรณีที่ไม่มีรายละเอียดในภูมิประเทศเพียงพอหรือมีแต่ไม่สามารถใช้เป็นที่หมายในการจัดวางแผนที่ให้ถูกทิศทางได้ก็จำเป็นต้องใช้วิธีหาแนวทิศเหนือในภูมิประเทศ ซึ่งจะได้อธิบายไว้ในเรื่องการหาทิศทางโดยอาศัยธรรมชาติช่วยในตอนต่อไป เมื่อกำหนดแนวทิศเหนือในภูมิประเทศได้แล้วก็สามารถวางแผนที่ให้ทิศเหนือในแผนที่ชี้ไปทางทิศเหนือในภูมิประเทศได้
2) การหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่ ผู้ใช้แผนที่ในภูมิประเทศจะต้องทราบอยู่ตลอดเวลาว่าขณะที่ตนอยู่ในภูมิประเทศนั้นอยู่ตรงจุดใดในแผนที่ วิธีหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่มีวิธีปฏิบัติได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของผู้ใช้ เครื่องมือและอุปกรณ์ ย่านเวลาและสิ่งแวดล้อมฯ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ซึ่งผู้ใช้แผนที่โดยทั่วไปสามารถปฏิบัติได้
ก) วิธีหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่อย่างง่ายที่สุด คือ การตรวจสอบดูว่าใน ภูมิประเทศบริเวณใกล้เคียงที่ตนอยู่นั้นมีอะไรเป็นที่สังเกตได้บ้าง เช่น ทางร่วม ทางแยก ลูกเนิน หนอง คลอง บึง ชายป่า อาคาร ฯลฯ แล้วตรวจดูรายละเอียดที่ตรงกันในแผนที่ประมาณตำแหน่งลงไปให้ใกล้เคียงที่สุด
ข) วิธีเล็งสกัดกลับ (Resection) เป็นวิธีหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่วิธีหนึ่งซึ่งอาศัยแนวเล็งผ่านจุดที่กำหนดได้แน่นอน ซึ่งมีอยู่ตรงกันทั้งในแผนที่และใน ภูมิประเทศ 2 ทิศทาง ขีดแนวเล็งทั้งสองนั้นกลับมาตัดกัน จุดตัดกัน ของแนวเล็ง ดังกล่าวคือตำแหน่งของผู้ใช้แผนที่
3) การกำหนดตำแหน่งของที่หมายในภูมิประเทศลงในแผนที่ วิธีที่จะกำหนดตำแหน่งของที่หมายใดๆ ในภูมิประเทศลงไปในแผนที่ กระทำได้หลายวิธี ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะวิธีการง่ายๆ ซึ่งผู้ใช้แผนที่ทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้
ก) วิธีที่ง่ายที่สุด คืออาศัยพิจารณารายละเอียดที่ปรากฏอยู่ใกล้ๆ โดยรอบที่หมายนั้นในภูมิประเทศ และรายละเอียดดังกล่าวมีแสดงไว้แล้วในแผนที่เป็นหลักประมาณระยะห่างและทิศทางเทียบเคียงแล้วก็กำหนดตำแหน่งของที่หมายลงไปในแผนที่ได้ทันที
ข) วิธีเล็งสกัดตรง( Intersection ) เป็นวิธีการกำหนดตำแหน่งของที่หมายใดๆ ในภูมิประเทศ ที่ไม่มีปรากฏอยู่ก่อนในแผนที่เพิ่มเติมลงในแผนที่ โดยอาศัยการเล็งแนวจากจุดที่กำหนดได้แน่นอนในแผนที่อย่างน้อย 2 จุด ไปยังที่หมายนั้น

การจำแนกชนิดของแผนที่

ปัจจุบันการจำแนกชนิดของแผนที่ อาจจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่จะยึดถือสิ่งใดเป็นหลักในการจำแนก เช่น
1. การจำแนกชนิดของแผนที่ตามลักษณะที่ปรากฏบนแผนที่ แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
1.1 แผนที่ลายเส้น ( Line Map ) เป็นแผนที่แสดงรายละเอียดในพื้นที่ด้วยเส้นและองค์ประกอบของเส้น ซึ่งอาจเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง ท่อนเส้น หรือเส้นใดๆ ที่ประกอบเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น ถนนแสดงด้วยเส้นคู่ขนาน อาคารแสดงด้วยเส้นประกอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม สัญลักษณ์ที่แสดงรายละเอียดเป็นรูปที่ประกอบด้วยลายเส้น แผนที่ ลายเส้นยังหมายรวมถึงแผนที่แบบแบนราบและแผนที่ทรวดทรง ซึ่งถ้ารายละเอียดที่แสดงประกอบด้วยลายเส้นแล้วถือว่าเป็นแผนที่ลายเส้นทั้งสิ้น 
1.2 แผนที่ภาพถ่าย ( Photo Map ) เป็นแผนที่ซึ่งมีรายละเอียดในแผนที่ที่ได้จากการถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพ ซึ่งอาจถ่ายภาพจากเครื่องบินหรือดาวเทียม การผลิตแผนที่ทำด้วยวิธีการนำเอาภาพถ่ายมาทำการดัดแก้ แล้วนำมาต่อเป็นภาพแผ่นเดียวกันในบริเวณที่ต้องการ แล้วนำมาใส่เส้นโครงพิกัด ใส่รายละเอียดประจำขอบระวาง แผนที่ภาพถ่ายสามารถทำได้รวดเร็ว แต่การอ่านค่อนข้างยากเพราะต้องอาศัยเครื่องมือและความชำนาญ 
1.3 แผนที่แบบผสม ( Annotated Map ) เป็นแบบที่ผสมระหว่างแผนที่ลายเส้นกับแผนที่ภาพถ่าย โดยรายละเอียดที่เป็นพื้นฐานส่วนใหญ่จะเป็นรายละเอียดที่ได้จากการถ่ายภาพ ส่วนรายละเอียดที่สำคัญๆ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ถนนหรือเส้นทาง รวมทั้งอาคารที่ต้องการเน้นให้เห็นเด่นชัดก็แสดงด้วยลายเส้น พิมพ์แยกสีให้เห็นเด่นชัดปัจจุบันนิยมใช้มาก เพราะสะดวกและง่ายแก่การอ่าน มีทั้งแบบแบนราบ และแบบพิมพ์นูน ส่วนใหญ่มีสีมากกว่าสองสีขึ้นไป 

การอ่านและแปลความในแผนที่

การอ่านและแปลความหมายของแผนที่ให้เข้าใจ จำเป็นต้องรู้ข้อมูลเบื้องต้นที่เป็นองค์ประกอบของแผนที่ และทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน เพื่อที่จะแปลความหมายและใช้ประโยชน์จากแผนที่ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะแผนที่ภูมิประเทศแบบลายเส้นซึ่งเป็นแผนที่พื้นฐานที่ใช้อยู่แพร่หลายในโลก
ปัจจุบันนักวิชาการได้คิดหาระบบและสัญญลักษณ์ที่เป็นสากล ในการกำหนดตำแหน่ง เช่น พิกัดภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) เป็นระบบอ้างอิงบนผิวพิภพ ตำแหน่งของจุดใดๆ บนพื้นผิวพิภพสามารถ กำหนดด้วยค่าละติจูด (Latitude) หรือที่เรียกว่า เส้นขนาน และเส้นลองจิจูด (Longitude) หรือที่เรียกว่า เส้นเมอริเดียน
แผนที่แสดงลักษณะภูมิประเทศ นอกจากแสดงให้ทราบถึงตำแหน่งที่ตั้ง ระยะทาง และทิศทาง สิ่งสำคัญของแผนที่ชนิดนี้คือ แสดงความสูงต่ำ และทรวดทรงแบบต่างๆ ของภูมิประเทศ การแสดงลักษณะภูมิประเทศบนแผนที่ มีหลายวิธี เช่น
1. แถบสี ใช้แถบสีแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศที่แตกต่างกัน เช่น สีเขียวแสดงพื้นที่ราบ สีเหลืองจนถึงสีส้มแสดงบริเวณที่เป็นที่สูง สีน้ำตาลเป็นบริเวณที่เป็นภูเขา
2. เงา การเขียนเงานั้นตามธรรมดานั้น จะเขียนในลักษณะที่มีแสงส่องมาจากทางด้านหนึ่ง ถ้าเป็นที่สูงชันลักษณะเงาจะเข้ม ถ้าเป็นที่ลาดเงาจะบาง วิธีเขียนเงาจะทำให้จินตนาการถึงความสูงต่ำได้ง่ายขึ้น 
3. เส้นลาดเขา เป็นการเขียนลายเส้นเพื่อแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศ ลักษณะเส้นจะเป็น เส้นสั้นๆ ลากขนานกัน ความหนาและช่วงห่างของเส้นมีความหมายต่อการแสดงพื้นที่ คือ ถ้าเส้นหนาเรียงค่อนข้างชิด แสดงภูมิประเทศที่สูงชัน ถ้าห่างกันแสดงว่าเป็นที่ลาด
4. แผนที่ภาพนูน แผนที่ชนิดนี้ถ้าใช้ประกอบกับแถบสี จะทำให้เห็นลักษณะภูมิประเทศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
5. เส้นชั้นความสูง คือเส้นสมมุติที่ลากไปตามพื้นผิวโลกที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เท่ากัน เส้นชั้นความสูงแต่ละเส้นจึงแสดงลักษณะและรูปต่างของพื้นที่ ณ ระดับความสูงหนึ่งเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

การสำรวจภาคพื้นดิน (Land Surveying)

การสำรวจสามารถแบ่งออกได้หลายอย่างซึ่งรวมการสำรวจจากภาพถ่ายทางอากาศสิ่งที่ต้องคำนึงถึงการสำรวจก็คือ  วิธีการสำรวจและคำนวณ เครื่องมือที่ใช้จะยากง่ายแตกต่างหันไป การแบ่งชนิดของการสำรวจภาคพื้นดิน จะมีดังนี้
                1.  การสำรวจขั้นสูง  (Geodetic  Surveying)
                   เป็นวิธีการสำรวจที่คิดความโค้งของโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  เช่น  ระยะทางจะต้องเป็นระยะบนระดับน้ำทะเลปานกลาง  หรือที่ผิวของรูป Ellipsoid  ค่าระดับจะต้องเป็นค่าที่ผิว ความสูงที่ได้จะเป็นความสูง  ทิศทางก็จะเป็นภาคของทิศจริง ซึ่งคิดที่ผิว Sphetoid  การสำรวจชนิดนี้จะใช้กับบริเวณกว้างขวาง   ใช้คณิตขั้นสูงในการคำนวณ และการคำนวณจะต้องอ้างอิงกับโครงข่ายที่มีความละเอียดและจุดบังคับโครงข่ายจะใช้เป็นหมุดบังคับแผนที่  การสำรวจชนิดนี้สามารถจะวัดขนาด และรูปร่างของโลกได้ สมารถจะตรวจสอบข้อมูลดาวเทียมหรือตรวจสอบพิกัดดาวเทียมได้เช่นกัน ปัจจุบันคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจขั้นสูงรวมทั้งการรังวัดทางดาราศาสตร์ และการสำรวจดาวเทียม
2.  การสำรวจพื้นราบ (Plane Surveying)
          เป็นการสำรวจโดยคิดว่าโลกแบบราบ  เพราะฉะนั้นจึงใช้กับพื้นที่ขนาดเล็ก  เช่น การสำรวจเพื่อการก่อสร้างและการสำรวจเพื่อการรังวัดที่ดิน ซึ่งจะกล่าวถึงในตำราเล่มนี้เป็นส่วนมาก
               
         3.  เป็นการสำรวจทางภูมิประเทศ (Topographic  Survey)
                                เป็นการสำรวจเพื่อกำหนดตำแหน่งทางราบและทางดิ่ง เพื่อให้ได้รายละเอียดจากสิ่งมนุษย์สร้างและที่มีในธรรมชาติในบริเวณที่ต้องสำรวจ ปัจจุบันจะทำการสำรวจเพื่อทำเป็นแผนที่มูลฐาน (Base  Map) เพื่องานสารสนเทศภูมิศาสตร์  การสำรวจแผนที่ภูมิประเทศ จะสามารถนำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศมาใช้ในปัจจุบันนี่ภาพถ่ายดาวเทียมที่ประเทศที่มีดาวเทียม
โดยเฉพาะในปัจจุบันสามารถสแกนภาพถ่ายทางอากาศเข้าไปเก็บในคอมพิวเตอร์ได้ เราเรียกว่า  Image  processing
                4 .  การสำรวจทางอุทกศาสตร์ (Hydrograpinic Survey)
                   เป็นการสำรวจหาความเร็วของกระแสน้ำ  ความลึกของท้อองทะเล การทำแผนที่ฝั่งทะเล ท้องทะเลเพื่อที่จะใช้ทำแผนที่เดินเรือ ในปัจจุบันการสำรวจจะรวมการสำรวจนอกจากชายฝั่งเพื่อหาน้ำมันและแก๊ส นอกจากนั้นข้อมูลการสำรวจยังใช้ในการออกแบบและก่อสร้างท่าเรือ เส้นทางเดินเรือในแม่น้ำ การป้องกันมลพิษในแม่น้ำ การวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล
                5.  การสำรวจเพื่อการเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดิน (Cadastral Survey)
          เป็นการสำรวจเพื่อบันทึกขอบเขตเมือง  อำเภอ  ตำบล  และเขตกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งในเมืองไทยจะเน้นการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินซึ่งกรมที่ดิน  เป็นผู้รับผิดชอบ และดำเนินการวางเส้นโครงแผนที่ กำหนดหมุดบังคับ โดยใช้ดาวเทียม และทำแผนที่ในระบบ UTM
          6.  การสำรวจเพื่องานวิศวกรรม (Engincering Surveying)
                   เป็นการสำรวจเพื่อการออกแบบก่อสร้าง การสำรวจจะเป็นการทำแผนที่ภูมิประเทศซึ่งจะทราบพิกัดฉาก และค่าระดับ  ถ้าเป็นการสำรวจพื้นที่ขนาดเล็กก็คิดว่าเป็นพื้นราบ เช่น การสร้างตึก ถนน  อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก  ถ้าเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ก็จะใช้การสำรวจขั้นสูง
การสำรวจจะแบ่งขั้นตอนออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ขั้นการออกแบ
2. ขั้นก่อนการก่อสร้าง
3. ขั้นการติดตามความก้าวหน้าในการก่อสร้าง
 การสำรวจตรวจสอบ
การสำรวจเส้นทาง (Route  surveying)
          เป็นการสำรวจเพื่อกำหนดหมุดบังคับทางราบ (horizontal Control) ซึ่งจะบอกค่าพิกัด ปละหมุดบังคับทางดิ่ง (vertical  Control) ซึ่งเราเรียกว่าหมุดหลักฐาน  การระดับ (มฐ = BM = Beench Mark) นอกจากกำหนดหมุดแล้วยังมีการวางแนวศูนย์กลาง  ซึ่งจะเป็นแนวตรงหรือแนวโค้งก็ได้ เช่นถนน  ทางรถไฟ สำหรับการสื่อสารก็จะมีแนวของเคเบิงใยแก้ว (fiber optic) นอกจากนั้นยังมีแนวของสายไฟฟ้าแรงสูง

การสำรวจเหมืองแร่ (Mine Surveying)
          ปัจจุบันจะมีการสำรวจทางอวกาศ โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมเพื่อสำรวจทางธรณีวิทยา  สำรวจใต้ดินเพื่อหาโครงสร้างของเปลือกโลก และแหล่งแร่ กาสำรวจภาคพื้นดินเพื่อทำแผนที่และกำหนดหมุดบังคับทางราบทางดิ่ง เอการเจาะอุโมงค์ การทำแผนที่ใต้ดิน
2.16 การสำรวจพิเศษอื่นๆ
                1.  การสำรวจทางธรณีวิทยา (Geolgical Survey)  เป็นการสำรวจเพื่อหาแร่ธาตุเช่นชนิดของหินการเก็บตัวอย่างหิน จะต้องบอกพิกัดจุดที่เก็บมาด้วย ปัจจุบันเครื่อง Gps receiver แบบมดดือถือจะสมารถบอกพิกัดภูมิศาสตร์และพิกัด UTM ได้ทำให้ได้ตำแหน่งที่แน่นอน
                2.  การสำรวจดิน (Soil Survey) เป็นการสำรวจเก็บตัวอย่างชนิดของดิน  เพื่อการเกษตร เพื่อใช้วางแผนปรับปรุงบำรุงดิน ในการเก็บตัวอย่างก็จะต้องหาพิกัดมาด้วย ซึ่งอาศัยเครื่อง GPS receiver ปัจจุบันสามารถใช้ดาวเทียมถ่ายภาพเพื่อหาชนิดของดินได้ ชนิดของดินจะแสดงด้วยพื้นที่บนแผนที่
                3.  การสำรวจทางโบราณคดี (Archacological Survey)  เป็นการสำรวจทำแผนที่โบราณสถาน และรายละเอียดต่าง ๆ  ของโบราณวัตถุ  การสำรวจที่ถูกหลักวิชาการสำรวจนั้น เจ้าหน้าที่จะต้องสามารถกำหนดเขตโดยกำหนดพิกัดเพื่อป้องกันการบุกรุก มีอำนาจในการออกเอกสารสิทธิ์ของกรมศิลปากรเอง
                4 . การสำรวจป่าไม้ (foresty Survey)  เป็นการสำรวจเพื่อกำหนดขอบเขตของป่าไม้ที่แน่นอน  มีพิกัดควบคุม และควรสามารถออกเอกสารสิทธิ์ของกรมฯ นอกจากนั้นการสำรวจเพื่อการจำแนกป่า เพื่อปรับปรุงป่า  แบ่งเขตสัมปทานเขตอุทยานแห่งชาติ ปละเขตอนุรักษ์สัตว์ป่า
                5 . การสำรวจเพื่อทำแผนที่ทางทหาร (Military Survey)  การทำแผนที่ทางทหาร  สามารถทำการสำรวจทางอวกาศ โดยเฉพาะภาพถ่ายจากดาวเทียมเครื่องบินการสำรวจภาคพื้นดิน  การสำรวจทางอุทกศาสตร์  เพื่อนำมาทำแผนที่ทางทหาร  ในประเทศไทยมีกรมแผนที่ทหารเป็นผู้รับผิดชอบ



การสำรวจด้วยเข็มทิศ  (compass surveying)
                การสำรวจด้วยเข็มทิศนี้เป็นการสำรวจเบื้องต้นที่ต้องการผลงานหยาบ ๆ ใช้ในพื้นที่ที่ไม่กว้างขวางมากนักปัจจุบันเนื่องจากพื้นที่มีความสำคัญมากขึ้น การทำแผนที่ด้วยเข็มทิศมีความสำคัญน้อยลง   แต่ในแง่การศึกษาการทำสำรวจด้วยเข็มทิศจะใช้เป็นหลักการสำรวจด้วยกล้องวัดมุม ๆ ไม่ว่าจะเป็นชนิด Glass Scale หรือ Electronic
          ถ้าหากว่าแม่เหล็กมีรูปร่างและขนาดเล็กมีความยาวมากกว่าส่วนกว้าง  ซึ่งเรียกว่า ถ้าถูกแขวนลอยอย่างอิสระ ปลายเข็มแม่เหล็กจะชี้ไปในแนวเหนือใต้ ซึ่งจะขนานกับเส้นแรงแม่เหลกฌลก เส้นนี้จะใช้แทนเมอริเดียนแม่เหล็กหรือทิศเหนือแม่เหล็ก
4.2  ชนิดของเข็มทิศ
                1. Poket Compass เป็นเข็มทิศขนาดเล็กที่พกพาไปได้สะดวก
                2. เข็มทิศเดินเรือ  เป็นเข็มทิศชนิดพิเศษที่ Support 4 อัน สองอันแรกจะอยู่บนสองอันหลัง
                3. Surbeyor’s Compass
          4. Tubular Compass หรือ Trough Compass
5. Transit Compass
6. Compass Theodolite
7.  เข็มทิศแบบดิจิตอล

ลักษณทางภูมิศาสตร์

ลักษณทางภูมิศาสตร์
ภูมิประเทศ